รู้หรือไม่? ปีนี้เขาไม่ใช้บัตรเอทีเอ็มแบบแถบแม่เหล็กกันแล้ว

ในปี 2559 ทางสมาคมธนาคารไทยและสถาบันการเงินได้เปลี่ยนบัตรเอทีเอ็ม หรือ บัตร atm จากแบบเป็นแถบแม่เหล็กมาเป็นแบบชิปการ์ด เพื่อความปลอดภัยของข้อมูลรวมถึงการใช้งาน เนื่องจากบัตรเอทีเอ็มแบบแถบแม่เหล็กง่ายต่อการปลอมแปลงบัตรและโจรกรรมข้อมูล ซึ่งหากเราเปลี่ยนบัตร atm หรือทำบัตร atm ใหม่ ให้เป็นแบบชิปการ์ดก็จะช่วยเซฟความปลอดภัยในการใช้งานมากยิ่งขึ้น บางคนสงสัยว่าแล้วเราจะสังเกตบัตรatmแถบแม่เหล็กเป็นแบบไหนได้อย่างไร ข้อสังเกตคือ ถ้าด้านหน้าของบัตรเอทีเอ็ม มีชิปการ์ดสี่เหลี่ยมขนาดเล็กอยู่ แสดงว่าบัตร atm นี้เป็นแบบชิปการ์ดอยู่แล้ว แต่หากไม่มีชิปอยู่ตรงด้านหน้าบัตร แสดงว่าเป็นบัตรatmแบบแม่เหล็ก ซึ่งต้องทำการเปลี่ยนบัตร atm เพื่อความปลอดภัยในการใช้งาน

ต้องการเปลี่ยนบัตรเอทีเอ็ม ต้องใช้อะไรบ้าง?

แม้ว่าในปี 2567 หรือ 2024 คนส่วนมากเริ่มหันมาใช้วิธีถอนเงินไม่ใช้บัตรเอทีเอ็มกันมากขึ้น เนื่องด้วยเพราะความสะดวกรวดเร็ว ไม่ต้องพกบัตร atm ให้ยุ่งยาก อีกทั้งมีแค่โทรศัพท์มือถือและอินเทอร์เน็ตก็สามารถทำธุรกรรมได้อย่างง่ายดาย อย่างไรก็ตามแต่ เชื่อว่ายังมีคนอีกจำนวนมากที่ยังชินกับการกดเงินใช้บัตรเอทีเอ็มอยู่ ตามที่ทราบกันดีว่า ปัจจุบันหากต้องใช้บัตร atm อยู่นั้น ต้องเป็นบัตรแบบชิปการ์ดเท่านั้น ซึ่งใครที่ยังใช้บัตรเอทีเอ็มซึ่งเป็นแถบแม่เหล็กอยู่ ต้องทำบัตร atm ใหม่ หลายคนถามว่าแล้วถ้าจะเปลี่ยนบัตร atm ใช้อะไรบ้าง โดยสิ่งที่ต้องใช้หรือเตรียมไปนั้น คือ บัตรประชาชน บัตร ATM/บัตรเดบิตใบเดิม และสมุดบัญชีธนาคารไปขอเปลี่ยนที่สาขาของธนาคารที่ใช้บริการได้ทุกสาขา ขั้นตอนดังกล่าวไม่ได้ยุ่งยากอะไรละที่สำคัญใช้เวลาไม่นาน ขอแค่เราเตรียมเอกสารให้พร้อมก็สามารถติดต่อกับเจ้าหน้าที่ธนาคารได้เลย 

ข้อแตกต่างระหว่างบัตรเอทีเอ็ม กับ บัตรกดเงินสด 

บัตรเอทีเอ็ม  ถือได้ว่าบัตรที่ใช้คู่กับบัญชีเงินฝาก เพื่อใช้เกี่ยวกับการถอน ฝาก โอนเงินระหว่างบัญชีผ่านตู้เอทีเอ็ม อนึ่งบัตรเอทีเอ็มจะผูกกับเงินในบัญชีโดยตรงซึ่งเราจะถอนหรือโอนเงินได้เท่ากับจำนวนเงินที่มีในบัญชีเท่านั้น 

อย่างไรก็ตาม เราไม่สามารถจ่ายค่าสินค้าตามเคาน์เตอร์ ต่าง ๆ ได้ หรืออปปิ้งซื้อของออนไลน์ด้วยเช่นกัน และบัตร atm ในปัจจุบันที่ใช้กัน (ปี 2567/2024) จะเป็นบัตรเอทีเอ็มแบบชิปการ์ด ไม่ใช่บัตรแบบแถบแม่เหล็กเหมือนแต่ก่อนแล้ว

บัตรกดเงินสด คือ บัตรที่เอาไว้เบิกถอนเงินสดเมื่อต้องการเงินด่วนฉุกเฉินตามวงเงินที่ได้รับอนุมัติโดยไม่ต้องมีเงินในบัญชี หรือทรัพย์สินใด ๆ เพื่อเป็นหลักประกัน  แต่ก็ต้องจ่ายดอกเบี้ยด้วยเช่นกัน ซึ่งวิธีการคิดดอกเบี้ยนั้น ธนาคารจะเริ่มคิดดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ทำรายการ จนถึงวันที่ทำการชำระยอดเงิน โดยดอกเบี้ยจะคิดแบบรายวัน  และหากมีบัตรกดเงินสด แต่ยังไม่ได้ใช้ ก็ไม่ต้องเสียค่าบริการหรือค่าธรรมเนียมใด ๆ  

ทั้งนี้การใช้งานหลัก ๆ ของบัตรเอทีเอ็มกับบัตรกดเงินสดมีความต่างกันอย่างชัดเจน แต่หากใครรู้ว่าตัวเองสามารถจัดการกับดอกเบี้ยที่เกิดจากบัตรเงินสดได้ การมีทั้งบัตร atm และบัตรกดเงินสดไว้ในครอบครองเวลาเดียวกันก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายแต่อย่างใด